วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) กรมคุมประพฤติ จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของกรมคุมประพฤติในการดำเนินการจัดโครงการพัฒนาพฤตินิสัยระยะเวลา 15 วัน "ค่าย รู้...รัก" (Sense and Love) ระหว่างวันที่ 17-21 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมีนางยศวันต์ บริบูรณ์ธนา รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ เป็นประธานเปิดโครงการฯ พร้อมด้วยผู้บริหารกรมคุมประพฤติ และผู้เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 110 คน เข้าร่วม

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นสำหรับพนักงานคุมประพฤติ และอาสาสมัครคุมประพฤติ ในการแก้ไขฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ถูกคุมความประพฤติคดียาเสพติด โดยเนื้อหาครอบคลุมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบำบัดฟื้นฟูทางจิตใจ การเสริมทักษะชีวิต กระบวนการกลุ่ม การวางแผนชีวิต รวมถึงการทำงานเชิงบูรณาการกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขตามกระบวนการคัดกรอง บคก.กสธ. V.2 ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เสพที่ครอบครัวยังดูแลได้แต่ต้องได้รับการปรับพฤติกรรมอย่างเป็นระบบ

รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญในการเตรียมความพร้อมบุคลากรและอาสาสมัครคุมประพฤติ ได้พัฒนาศักยภาพและทักษะการทำงานในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ถูกคุมความประพฤติ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการและเครื่องมือที่หลากหลายด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม เพื่อให้ผู้ถูกคุมความประพฤติสามารถกลับคืนสู่ชุมชนได้อย่างมีคุณภาพและไม่หวนกลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก

รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ยังระบุว่า กรมคุมประพฤติ ได้ดำเนินงานในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ติดยาเสพติดมากว่า 20 ปี นับตั้งแต่พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 จนกระทั่งประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 แม้พนักงานคุมประพฤติจะไม่ได้มีบทบาทเป็นนักบำบัดโดยตรง แต่ยังคงมีหน้าที่สำคัญในการบังคับใช้กฎหมายให้ผู้ถูกคุมความประพฤติปฏิบัติตามเงื่อนไข แก้ไขฟื้นฟู และส่งเสริมอาชีพ โดยเน้นการทำงานตามนโยบาย 3R1P การติดตามผู้ถูกคุมความประพฤติคดียาเสพติด การทำงานร่วมกับอาสาสมัครคุมประพฤติ ตลอดจนการบันทึกข้อมูลลงในระบบสารสนเทศให้ถูกต้องครบถ้วน

.

สำหรับโครงการ "ค่ายรู้…รัก (Sense and Love)" เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ถูกคุมความประพฤติที่มีผลกระทบจากการใช้ยาเสพติดในระดับปานกลาง มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนความคิด พฤติกรรม เสริมทักษะชีวิต และพัฒนาความมั่นคงทางอาชีพ เพื่อให้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน โดยต้องอาศัยบุคลากรที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในกระบวนการฟื้นฟูและสามารถให้การช่วยเหลืออย่างเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ